- Worksheets
- Thai
- วิทยาศาสตร์
- ชีววิทยา
- ใบงานผลการเรียนรู้ที่ 15
ใบงานผลการเรียนรู้ที่ 15
ภาษา: Thai
ชื่อวิชา:
วิทยาศาสตร์
> ชีววิทยา
Age: 16 - 17
ขับจุลินทรีย์ออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะ
เหงื่อและน้ำมันยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
มีสภาวะเป็นกรดยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
หลั่งเมือกดักจับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย แล้วขับออกโดยการไอจาม
หลั่งกรดไฮโดรคอลิก ทำลายแบคทีเรีย
มีเอนไซม์ย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
ป้องกันไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อเยื่อ
ดักจับฝุ่นละอองและแมลง
ขับจุลินทรีย์ออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะ
เหงื่อและน้ำมันยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
มีสภาวะเป็นกรดยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
หลั่งเมือกดักจับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย แล้วขับออกโดยการไอจาม
หลั่งกรดไฮโดรคอลิก ทำลายแบคทีเรีย
มีเอนไซม์ย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
ป้องกันไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อเยื่อ
ดักจับฝุ่นละอองและแมลง
ขับจุลินทรีย์ออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะ
เหงื่อและน้ำมันยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
มีสภาวะเป็นกรดยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
หลั่งเมือกดักจับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย แล้วขับออกโดยการไอจาม
หลั่งกรดไฮโดรคอลิก ทำลายแบคทีเรีย
มีเอนไซม์ย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
ป้องกันไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อเยื่อ
ดักจับฝุ่นละอองและแมลง
ขับจุลินทรีย์ออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะ
เหงื่อและน้ำมันยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
มีสภาวะเป็นกรดยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
หลั่งเมือกดักจับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย แล้วขับออกโดยการไอจาม
หลั่งกรดไฮโดรคอลิก ทำลายแบคทีเรีย
มีเอนไซม์ย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
ป้องกันไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อเยื่อ
ดักจับฝุ่นละอองและแมลง
ขับจุลินทรีย์ออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะ
เหงื่อและน้ำมันยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
มีสภาวะเป็นกรดยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
หลั่งเมือกดักจับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย แล้วขับออกโดยการไอจาม
หลั่งกรดไฮโดรคอลิก ทำลายแบคทีเรีย
มีเอนไซม์ย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
ป้องกันไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อเยื่อ
ดักจับฝุ่นละอองและแมลง
ขับจุลินทรีย์ออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะ
เหงื่อและน้ำมันยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
มีสภาวะเป็นกรดยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
หลั่งเมือกดักจับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย แล้วขับออกโดยการไอจาม
หลั่งกรดไฮโดรคอลิก ทำลายแบคทีเรีย
มีเอนไซม์ย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
ป้องกันไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อเยื่อ
ดักจับฝุ่นละอองและแมลง
ขับจุลินทรีย์ออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะ
เหงื่อและน้ำมันยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
มีสภาวะเป็นกรดยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
หลั่งเมือกดักจับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย แล้วขับออกโดยการไอจาม
หลั่งกรดไฮโดรคอลิก ทำลายแบคทีเรีย
มีเอนไซม์ย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
ป้องกันไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อเยื่อ
ดักจับฝุ่นละอองและแมลง
ขับจุลินทรีย์ออกจากร่างกายไปกับปัสสาวะ
เหงื่อและน้ำมันยับยั้งการเจริญของแบคทีเรีย
มีสภาวะเป็นกรดยับยั้งการเจริญของเชื้อโรค
หลั่งเมือกดักจับฝุ่นละอองและแบคทีเรีย แล้วขับออกโดยการไอจาม
หลั่งกรดไฮโดรคอลิก ทำลายแบคทีเรีย
มีเอนไซม์ย่อยผนังเซลล์ของแบคทีเรีย
ป้องกันไม่ให้สิ่งต่าง ๆ เข้าไปในเนื้อเยื่อ
ดักจับฝุ่นละอองและแมลง
สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกร่างกายมนุษย์ ที่พยายามจะเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต
เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในร่างกาย และระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ไม่รู้จัก จึงถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม
คือ การปฏิเสธทุก ๆ อย่างที่ร่างกายไม่รู้จัก ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย โดยไม่เลือดว่าสื่ง ๆ นั้นคืออะไร (ไม่สนว่าสิ่งนั้นคืออะไร ปฏิเสธหมด)
สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกร่างกายมนุษย์ ที่พยายามจะเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต
เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในร่างกาย และระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ไม่รู้จัก จึงถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม
คือ การปฏิเสธทุก ๆ อย่างที่ร่างกายไม่รู้จัก ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย โดยไม่เลือดว่าสื่ง ๆ นั้นคืออะไร (ไม่สนว่าสิ่งนั้นคืออะไร ปฏิเสธหมด)
สิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ภายนอกร่างกายมนุษย์ ที่พยายามจะเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิต
เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่ในร่างกาย และระบบต่าง ๆ ของมนุษย์ไม่รู้จัก จึงถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอม
คือ การปฏิเสธทุก ๆ อย่างที่ร่างกายไม่รู้จัก ไม่ให้เข้าสู่ร่างกาย โดยไม่เลือดว่าสื่ง ๆ นั้นคืออะไร (ไม่สนว่าสิ่งนั้นคืออะไร ปฏิเสธหมด)
บริเวณที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสิ่งแปลกปลอม
ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ทำการจับกินเชื้อโรคก่อนที่จะมีการแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ
Phagocyte เข้าทำลายเชื้อโรค หลังจากนั้น Phagocyte จะตาย และถูกขับออกจากเนื้อเยื่อ เพื่อนำออกจากร่างกายในรูปแบบของน้ำหนอง
Phagocytosis
เกิดจากการบวมแดงของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว เนื่องจาก เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการติดเชื้อ และส่งสารเคมีเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดเพื่อมาจับกินเชื้อโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ได้แก่ Monocyte & Neutrophil
Macrophage จับกินเชื้อโรค และยังปล่อยสารเคมี ร่วมกับ Mast cell เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อให้ Phagocyte แทรกตัวออกมาจากหลอดเลือดเพื่อจับกินเชื้อโรค
บริเวณที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสิ่งแปลกปลอม
ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ทำการจับกินเชื้อโรคก่อนที่จะมีการแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ
Phagocyte เข้าทำลายเชื้อโรค หลังจากนั้น Phagocyte จะตาย และถูกขับออกจากเนื้อเยื่อ เพื่อนำออกจากร่างกายในรูปแบบของน้ำหนอง
Phagocytosis
เกิดจากการบวมแดงของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว เนื่องจาก เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการติดเชื้อ และส่งสารเคมีเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดเพื่อมาจับกินเชื้อโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ได้แก่ Monocyte & Neutrophil
Macrophage จับกินเชื้อโรค และยังปล่อยสารเคมี ร่วมกับ Mast cell เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อให้ Phagocyte แทรกตัวออกมาจากหลอดเลือดเพื่อจับกินเชื้อโรค
บริเวณที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสิ่งแปลกปลอม
ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ทำการจับกินเชื้อโรคก่อนที่จะมีการแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ
Phagocyte เข้าทำลายเชื้อโรค หลังจากนั้น Phagocyte จะตาย และถูกขับออกจากเนื้อเยื่อ เพื่อนำออกจากร่างกายในรูปแบบของน้ำหนอง
Phagocytosis
เกิดจากการบวมแดงของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว เนื่องจาก เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการติดเชื้อ และส่งสารเคมีเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดเพื่อมาจับกินเชื้อโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ได้แก่ Monocyte & Neutrophil
Macrophage จับกินเชื้อโรค และยังปล่อยสารเคมี ร่วมกับ Mast cell เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อให้ Phagocyte แทรกตัวออกมาจากหลอดเลือดเพื่อจับกินเชื้อโรค
บริเวณที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสิ่งแปลกปลอม
ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ทำการจับกินเชื้อโรคก่อนที่จะมีการแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ
Phagocyte เข้าทำลายเชื้อโรค หลังจากนั้น Phagocyte จะตาย และถูกขับออกจากเนื้อเยื่อ เพื่อนำออกจากร่างกายในรูปแบบของน้ำหนอง
Phagocytosis
เกิดจากการบวมแดงของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว เนื่องจาก เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการติดเชื้อ และส่งสารเคมีเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดเพื่อมาจับกินเชื้อโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ได้แก่ Monocyte & Neutrophil
Macrophage จับกินเชื้อโรค และยังปล่อยสารเคมี ร่วมกับ Mast cell เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อให้ Phagocyte แทรกตัวออกมาจากหลอดเลือดเพื่อจับกินเชื้อโรค
บริเวณที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสิ่งแปลกปลอม
ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ทำการจับกินเชื้อโรคก่อนที่จะมีการแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ
Phagocyte เข้าทำลายเชื้อโรค หลังจากนั้น Phagocyte จะตาย และถูกขับออกจากเนื้อเยื่อ เพื่อนำออกจากร่างกายในรูปแบบของน้ำหนอง
Phagocytosis
เกิดจากการบวมแดงของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว เนื่องจาก เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการติดเชื้อ และส่งสารเคมีเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดเพื่อมาจับกินเชื้อโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ได้แก่ Monocyte & Neutrophil
Macrophage จับกินเชื้อโรค และยังปล่อยสารเคมี ร่วมกับ Mast cell เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อให้ Phagocyte แทรกตัวออกมาจากหลอดเลือดเพื่อจับกินเชื้อโรค
บริเวณที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสิ่งแปลกปลอม
ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ทำการจับกินเชื้อโรคก่อนที่จะมีการแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ
Phagocyte เข้าทำลายเชื้อโรค หลังจากนั้น Phagocyte จะตาย และถูกขับออกจากเนื้อเยื่อ เพื่อนำออกจากร่างกายในรูปแบบของน้ำหนอง
Phagocytosis
เกิดจากการบวมแดงของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว เนื่องจาก เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการติดเชื้อ และส่งสารเคมีเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดเพื่อมาจับกินเชื้อโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ได้แก่ Monocyte & Neutrophil
Macrophage จับกินเชื้อโรค และยังปล่อยสารเคมี ร่วมกับ Mast cell เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อให้ Phagocyte แทรกตัวออกมาจากหลอดเลือดเพื่อจับกินเชื้อโรค
บริเวณที่มีการอักเสบ หรือติดเชื้อจะมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นเพื่อยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสิ่งแปลกปลอม
ร่างกายจะมีเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ทำการจับกินเชื้อโรคก่อนที่จะมีการแพร่กระจายไปยังบริเวณอื่น ๆ
Phagocyte เข้าทำลายเชื้อโรค หลังจากนั้น Phagocyte จะตาย และถูกขับออกจากเนื้อเยื่อ เพื่อนำออกจากร่างกายในรูปแบบของน้ำหนอง
Phagocytosis
เกิดจากการบวมแดงของเนื้อเยื่อบริเวณดังกล่าว เนื่องจาก เนื้อเยื่อบริเวณนั้นมีการติดเชื้อ และส่งสารเคมีเพื่อให้หลอดเลือดขยายตัวเพื่อให้เม็ดเลือดขาวเคลื่อนที่ออกจากหลอดเลือดเพื่อมาจับกินเชื้อโรค
เซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท Phagocyte ได้แก่ Monocyte & Neutrophil
Macrophage จับกินเชื้อโรค และยังปล่อยสารเคมี ร่วมกับ Mast cell เพื่อให้หลอดเลือดขยายตัว เพื่อให้ Phagocyte แทรกตัวออกมาจากหลอดเลือดเพื่อจับกินเชื้อโรค
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
แอนติเจน คือ เชื้อโรค หรือสิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย แอนติบอดี คือ ภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกับ แอนติเจน
เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte โดยแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ T-cell & B-cell
มี 2 ประเภท คือ CD4 (Helper T cell) และ CD8 (Cytotoxic T cell)
คือโปรตีนที่ถูกปล่อยจาก CD4 แล้วไปมีผลต่อ CD8 และ B-cell
ได้เพราะ มีตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์บี (BCR) ที่มีลักษณะคล้ายตัว Y ซึ่งบริเวณตรงปลาย สามารถจับกับแอนติเจนได้อย่างจำเพาะ
ถูกพัฒนามาจากทั้ง CD4 CD8 และ B-cell เช่น Memory B-cell จะเป็นเซลล์ที่มีข้อมูลแอนติเจนที่เคนเข้ามาอยู่แล้ว เมื่อได้รับแอนติเจนดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 จะมีเพิ่มจำนวนเปลี่ยนแปลงเป็น Plasma cell ที่สร้าง Antibody ได้อย่างรวดเร็ว
คือ Macrophage ที่เข้าจับกินและทำลาย Antigen (เชื้อโรค) แล้วชิ้นส่วนของแอนติเจนถูกจับกับโดยโปรตีนแล้วนำเสนอต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte
เนื่องจากเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Lymphocyte สามารถจดจำลักษณะจำเพาะของแอนติเจน
เนื่องจาก T-cell มีโปรตีนตัวรับแอนติเจนบนผิวเซลล์ที (TCR) ซึ่งบริเวณส่วนปลาย)จะมี บริเวณจับแอนติเจนที่จะจับกับแอนติเจนที่ถูกเสนอโดยเซลล์นำเสนอแอนติเจน
CD4 ทำหน้าที่ปล่อย Cytokine เพื่อกระตุ้นการทำงานของ CD8 และ B-cell ส่วน CD8 ทำหน้าที่ทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อโดยการทำให้เซลล์แตก
เมื่อ B-cell ได้รับ Cytokine จาก CD4 จะเกิดการแบ่งตัวเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่ เรียกว่า Plasma cell ที่มีโปรตีนที่เป็นแอนติบอดี หรือ อิมมูโกลบูลิน (Ig) อยู่ภายในเซลล์
Other worksheets of วิทยาศาสตร์: ชีววิทยา
วิทยาศาสตร์
Thai
วิทยาศาสตร์
Thai
วิทยาศาสตร์
Thai
วิทยาลัย
วิทยาศาสตร์
Thai
มัธยมศึกษาปีที่ 4
ทำใบงานเสร็จแล้ว
หมดเวลาทำแผ่นงานนี้แล้ว กรอกข้อมูลให้ครบถ้วนเพื่อส่งคำตอบให้ครูผู้สอนของคุณ
Share on social networks
บันทึกคำตอบของคุณ
บันทึกคำตอบของคุณ
เปร่งเสียงเพื่อกรอกคำตอบของคุณ
เล่นคำตอบของคุณ
อ่านออกเสียง
เบราว์เซอร์ของคุณไม่สนับสนุนการอ่านออกเสียง นี่คือข้อความที่ใช้สำหรับฟัง
คุณแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการลบการเข้าร่วมนี้
ผิดพลาด
ทำใบงานเสร็จแล้ว
คุณแน่ใจหรือไม่ว่า คุณทำใบงานนี้เสร็จแล้ว
กำลังอัปโหลดไฟล์ กรุณารอสักครู่...
กำลังส่งคำตอบ กรุณารอสักครู่...
Your session has expired. To complete the worksheet you must reload the page.
กำลังลองใหม่...
ดูเหมือนว่าการดำเนินการนี้จะใช้เวลานานเกินไป เราจะลองอีกครั้งใน 5 วินาที